Show Posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - guupost

Pages: 1 2 [3] 4 5 ... 42
31


ปัจจุบันนี้การใช้งานกระทะปิ้งย่างเป็นอีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยเพิ่มความสะดวกมากขึ้น แต่หากเราใช้งานไปโดยไม่รู้เรื่องแล้วพลาดไปทำบางสิ่งบางอย่างโอกาสที่เครื่องจะชำรุด เสียหายมีขึ้นได้ง่าย เพราะฉะนั้นการศึกษาถึงข้อควรระวังต่าง ๆ จะช่วยให้การใช้งานยาวนานมากขึ้น ซึ่งต้องระวังเรื่องใดบ้างนั้นไปติดตามกันดีกว่า

ข้อควรระวังการใช้งานกระทะปิ้งย่าง รู้ไว้ใช้ได้ยาว ๆ
1. ไม่วางเตาไว้แบบตากแดดตากฝน
เมื่อใช้งานแล้ว เวลาเก็บเตาหรือใด ๆ ก็ตาม จำเป็นต้องเก็บไว้ในที่ที่ดีที่สุด ไม่ควรเอาไปวางไว้ตากแดด ตากฝน หรืออยู่นอกบ้าน โดยเฉพาะใครที่ชอบล้างแล้วเอาไปตากนอกบ้าน ลืมเก็บ อย่าทำโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้เพราะจะทำให้เครื่องเสื่อมสภาพ และเสียหายได้ อย่างโดดแดดก็จะทำให้เครื่องเกิดการสะสมความร้อน ตากฝนก็ทำให้วงจรไฟฟ้าเสียหายได้

2. ไม่วางของแข็งเอาไว้บนเตา
ต่อมาก็คือเรื่องของการวางของต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เป็นของแข็งและมีน้ำหนักมากไว้บนเตา เพราะถ้าวางเอาไว้นาน ๆ ก็จะทำให้เครื่องถูกทับมากเกินไป และจะทำให้เครื่องเตาปิ้งย่างไฟฟ้าพังง่ายมากขึ้นด้วย ใช้เสร็จเก็บลงกล่องเหมือนเดิมเลยดีกว่า

3. ใช้ไปแล้วไม่ปล่อยทิ้งไว้นาน
หลังจากที่เราได้ใช้งานปิ้งย่างกันแล้ว กินกันเสร็จแล้วก็ต้องล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อยด้วย ห้ามปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ เพราะยิ่งทำแบบนั้นจะทำให้เตาเป็นคราบเปื้อนติดนาน และเกิดสิ่งสกปรกอื่น ๆ มาติดพันไปด้วย ถ้าไม่อยากให้เตาเสื่อมสภาพเร็วก็ต้องใช้เสร็จล้างเลยจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

4. ใช้กำลังไฟให้พอดี
สุดท้ายก็คือการเลือกใช้กำลังไฟฟ้าให้พอดี ไม่ควรใช้ไฟสูงร้อน ๆ อยู่ตลอดเวลา ให้มีการสลับไปใช้ไฟอ่อน ๆ ด้วย เหตุเพราะการใช้ไฟสูงอยู่ตลอดเวลาจะทำให้เครื่องมีความร้อนสูง และก็จะพังได้เร็วมากขึ้น แนะนำว่าถ้าจะเลือกเป็นเตาหมูกระทะไฟฟ้าให้เลือกแบบแยกเตากับหม้อต้มไปเลย เนื่องจากจะทำให้เราลดปริมาณไฟแยกส่วนกัน ความร้อนก็จะไม่เกินมาตรฐาน ใช้ต่อกันได้ยาวนาน

กระทะปิ้งย่างเหมาะกับทุก ๆ ท่านที่ชอบการทำอาหาร หรือโปรดปรานการปิ้งย่าง หรือผู้ประกอบการร้านอาหารที่ต้องการวางเตาดี ๆ ไว้ให้ลูกค้าได้เลย ซึ่งค่อนข้างง่ายต่อการเคลื่อนย้าย เนื่องมาจากมีน้ำหนักเบา ใช้งานง่าย แค่หมุนปุ่ม หรือกดปุ่มก็มีปริมาณไฟขึ้นมาให้เราแล้ว และยิ่งปัจจุบันมีฟังก์ชันอื่น ๆ เพิ่มมามากขึ้น อย่างที่บอกการแยกเตาระหว่างหม้อ และที่ปิ้งย่าง แล้วแยกการใช้ไฟฟ้าได้ด้วย สามารถทำได้หลากหลายเมนูตามต้องการ ที่สำคัญคือสะดวกมาก ๆ

สั่งซื้อสินค้าได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/APP0807

32


ปัจจุบันนี้การใช้งานหม้อทอดเป็นที่นิยมอย่างมากที่สุด ทั้งนี้เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้หลาย ๆ คนสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะทำอาหารหรืออุ่นอาหารก็สำเร็จได้โดยง่าย ๆ กระนั้นหากต้องการนำมาใช้ทำอาหารให้ปลอดภัยจริง ๆ ก็ควรต้องทำความเข้าใจการใช้งานอย่างละเอียด และเพื่อให้ทุกท่านเข้าใจอย่างที่สุดก็มีมาอธิบายเช่นเคย

ให้อาหารจานโปรดปลอดภัยต่อสุขภาพเมื่อใช้หม้อทอด
หม้อทอดไฟฟ้าเป็นอีกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดีมาก ๆ เพราะมีส่วนช่วยให้อาหารสุกไวภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง โดยที่ใช้มีจุดเด่นต้องที่ช่วยลดปริมาณแคลอรีลงกว่า 70 – 80% โดยที่เมื่อเทียบกับการทอดใส่น้ำมันท่วม ๆ แล้ว ที่ต่อครั้งใช้น้ำมัน 750 มิลลิลิตรเลยทีเดียว ซึ่งการใช้หม้อช่วยทอดนี้ให้น้ำมันเพียง 15 มิลลิลิตร หรือ 1 ช้อนโต๊ะเท่านั้น การทำให้อาหารจานโปรดปลอดภัยต่อสุขภาพเมื่อใช้งานเราไม่รีรอที่จะพาไปเรียนรู้นั่นคือ
1. ใช้น้ำมันที่ไขมันอิ่มตัวน้อยช่วย
อย่างแรกที่แนะนำเลยก็คือการเลือกใช้น้ำมัน ที่ควรต้องเป็นน้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวน้อยประกอบอาหาร อาทิ
- น้ำมันคาโนล่า
- น้ำมันมะกอก
- น้ำมันดอกทานตะวัน
- น้ำมันถั่วเหลือง
เพราะว่าการที่เราเลือกทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงก็จะทำให้เกิดระดับคอเลสเตอรอลสูงเพิ่มตามไปด้วย รวมไปถึงยังเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ อาทิ หลอดเลือดในสมอง หรือโรคหัวใจ

2. เลือกวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพมาทำกิน
และข้อสำคัญอีกอย่างเมื่ออยากใช้หม้อทอดไร้น้ำมันทำอาหารให้ปลอดภัย ก็คือการเลือกอาหาร หรือวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพมากิน อาทิเช่น ดอกกะหล่ำ ดอกบล็อกโคลี่ มะเขือเทศสด โดยให้หั่นเป็นชิ้น ๆ และนำไปย่างให้สุกก่อนโดยใส่ในหม้อช่วยทอด หรือถ้าใครอยากรับประทานมันฝรั่งทอด ก็ควรเลือกเป็นมันฝรั่งดิบที่หั่นเป็นเส้น ๆ แทนใช้เฟรนช์ฟรายด์สำเร็จรูปแช่แข็งไปเลย ส่วนถ้าเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ก็อยากให้เลือกเนื้อสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพดีกว่า อย่างเช่น อกไก่ เนื้อไม่ติดมัน หรือปลาแซลมอน ฯลฯ

3. เลือกใช้ไฟให้เหมาะกับการทำอาหาร
สุดท้ายก็คือการเลือกใช้ไฟของหม้อช่วยทอดให้เหมาะสมกับแต่ละเมนูอาหาร โดยอาจจะพิจารณาจากคู่มือดูเลยก็ได้ว่าอาหารลักษณะไหนควรใช้ไฟยังไง น้อย ปานกลาง หรือมาก แล้วแต่ละเมนูจะใช้เวลาทำนานแค่ไหน รับรองว่าแบบนี้จะช่วยให้อาหารของเราสุกพอดี และไม่เกิดปัญหาไหม้เกรียม หรือเพิ่มปริมาณสารต่าง ๆ ที่ส่งผลเสียต่อร่างกายมาได้

หม้อทอดเป็นการทำงานโดยเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานความร้อน โดยจะใช้ลมร้อนทำให้อาหารสุกจากผิวด้านนอกก่อนแล้วลมก็จะหมุนเวียนเอาน้ำมันส่วนเกินออกจากอาหาร แล้วตกลงด้านล่างตะแกรงวางอาหาร ซึ่งหากเรายึดวิธีความปลอดภัยข้างต้นช่วยด้วย เชื่อว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายของเรามากกว่าการทอดด้วยน้ำมัน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/APP080503

33


หากคุณกำลังเจอปัญหากล้องวงจรปิดในลักษณะต่าง ๆ ภาพเป็นคลื่น เป็นเส้น ภาพเบลอ บางกล้องติดบางกล้องดับ หรือเป็นภาพลาง ๆ สีดำ ฯลฯ อย่าเพิ่งด่วนซื้อใหม่ ให้ลองแก้ไขด้วยตัวเองก่อนได้เลย แต่จะทำยังไงก็ตามเชื่ออย่างยิ่งว่าเรื่องนี้มีหลายคนอยากรู้มาก จึงไม่พลาดไปสืบเสาะหาวิธีช่วยเหลือมาบอกต่อผ่านบทความนี้อย่างละเอียด พร้อมแล้วก็ไปติดตามศึกษากันเลยดีกว่า

นำเสนอวิธีแก้ไขปัญหากล้องวงจรปิดที่ทำได้เอง ลองดูก่อนเลย
1. ปัญหาภาพเป็นลาง มีสีดำ
ปัญหาที่พบได้นี้อาจจะมีสาเหตุมาจากจุดเชื่อมต่อต่าง ๆ ของระบบกล้อง ที่อาจจะหลวม ไม่แน่น อาทิเช่น หัวแลนที่มาเสียบกับบาลัน หรือหัว BNC ที่ต่อกับเครื่องบันทึกภาพ หรือต่อกับตัวกล้อง ฯลฯ จึงควรต้องมีการตรวจเช็กทั้ง 2 ด้านที่เชื่อมต่อกันก่อน แต่หากเป็นกล้องวงจรปิด wifi ก็จะอาจจะต้องไปดูที่ตัว Wi-Fi แทนว่าเชื่อมต่อกันดีแล้วหรือเปล่า

2. บางกล้องภาพดับ หรือไม่ขึ้นมาเลยทุกช่วงเวลา
เผื่อว่าสำนักงาน หน่วยงาน หรือบริษัทไหนที่มีกล้องหลายตัว แล้วบางกล้องเกิดภาพดับ หรือไม่ขึ้นมาเลยทุกช่วงเวลา อย่างแรกให้ลองไปตรวจสอบหัวเชื่อมต่อสัญญาณเหมือนข้อแรกที่เราแนะนำก่อนเลย ดูว่ามีหลวมหรือหลุดไหม รวมไปถึงตรวจดูอุปกรณ์เพิ่มเติม โดยเฉพาะที่ต่อตัวกล้อง ให้ลองสลับอุปกรณ์กับกล้องดู อย่างเช่น
- ย้ายช่องต่อด้านหลังโดยย้ายไปพร้อมกับบาลันชุดเดิม หากสลับช่องแล้วยังมีปัญหาก็อาจจะมาจากเครื่องบันทึกภาพเสียบางช่องก็เป็นได้ ก็ลองย้ายไปช่องที่ภาพติดปกติดู
- อาจจะสลับสายแลนหลังเครื่องโดยนำไปเสียบกับบาลันตัวอื่นที่ภาพปกติดูว่าติดไหม

3. ภาพเป็นคลื่น หรือสั่นสะเทือน
อาการภาพเป็นคลื่น หรือสั่นสะเทือนอาจเกิดจากตัวอะแดปเตอร์ หรือ Power Supply ที่จ่ายไฟไปตัวกล้องมีปัญหา ไฟที่ควรไปเลี้ยงก็ไปไม่เต็มที่ ลดน้อยลง ซึ่งตัวอุปกรณ์ภายในอะแดปเตอร์ หรือ Power Supply อาจเสื่อมสภาพแล้วก็เป็นได้

4. ภาพเบลอ
สุดท้ายไม่ว่าจะกล้องวงจรปิดไร้สาย หรือไม่ ก็มีโอกาสเกิดปัญหาภาพเบลอได้ ซึ่งอาจเกิดจากเลนส์ไม่ได้ล็อก ไม่แน่น หรือโฟกัสเคลื่อน ให้ปรับโฟกัสหน้ากล้อง หาดูจุดที่ชัดมากที่สุดแล้วหมุนนอตให้แน่น ถ้าเป็นกล้องที่ระบบอินฟราเรดก็ถอดฝากระจกหน้าออกเพื่อปรับโฟกัสของเลนส์ได้เลย หากกล้องเป็นคราบฝ้าขาว ๆ ให้เช็ดทั้ง 2 ด้าน หรือใช้มือปิดเซนเซอร์ไว้ดูว่าหลอดอินฟราเรดทำงานหรือไม่ เพราะว่าถ้าทำงานปกติก็จะเห็นเป็นไฟแดง ๆ ขึ้นมาเลยนั่นเอง

กระนั้นหากลองแก้ไขปัญหากล้องวงจรปิดต่าง ๆ แล้วแต่ก็ไม่เป็นผล แนะนำว่าให้ซื้อใหม่ไปเลยดีที่สุด โดยเลือกแบรนด์ที่วางใจได้ ได้มาตรฐานความปลอดภัย ราคาเหมาะสม หาซื้อง่าย เพื่อให้การเปลี่ยนใช้งานทันใช้จริง ๆ และมีประสิทธิภาพที่สุด

เข้าชมเว็บไซต์ได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/TOO020302

34


เมื่อกล่าวถึงกล่องกระดาษแล้วต้องยอมรับว่าปัจจุบันถูกนำมาใช้งานเยอะมากเพราะหลายท่านก็ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าของออนไลน์ หนึ่งในนั้นก็คือกล่องแบบลูกฟูก กระนั้นก่อนที่จะตกลงใจใช้งานควรต้องศึกษารายละเอียดต่าง ๆ อย่างรอบคอบ เพื่อการซื้อที่มั่นใจไม่ทำให้เกิดปัญหาตามมา

พิจารณาทำความรู้จักให้รอบด้านก่อนซื้อ “กล่องกระดาษลูกฟูก”
กล่องประเภทนี้นั้นจะมีให้เราแบ่งออกเป็นชั้น ๆ ตามลอน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความหนาขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งก็จะมีเป็นกระดาษลูกฟูกแบบ 3 ชั้น ซึ่งจะเหมาะกับสินค้าที่มีน้ำหนักปานกลาง หรือไม่ได้เน้นความแข็งแรงของกล่องพัสดุมาก โดยจะทำลอนเป็นแบบ 3 ชั้น คือลอยกระดาษลูกฟูก 1 ชั้น กระดาษปะหน้าทำผิวกล่องอีก 2 ชั้นด้านใน – ด้านนอก ก็เลยกลายเป็นแบบ 3 ชั้น
นอกจากนี้ ยังมีแบบ 5 ชั้นด้วย ซึ่งก็จะเหมาะสมกับสินค้าที่น้ำหนักมีมาก และเป็นตัวการในการป้องกันสูง มีส่วนประกอบเป็นกระดาษลูกฟูก 2 ชั้น และแปะกระดาษทั้งหน้า หลัง และขั้นตรงกลาง 3 ชั้น รวมเป็น 5 ชั้น

นอกจากเรื่องของความหนาที่กล่องไปรษณีย์ลูกฟูกมีให้บริการแล้ว จริง ๆ ก็ต้องยอมรับว่ากล่องประเภทนี้มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
- มีความทนทานมาก ใช้งานแล้วจะช่วยปกป้องไม่ให้สิ่งของ หรือสินค้าของคุณเกิดความเสียหายได้แม้ตกจากที่สูงก็ไม่ใช่ปัญหา
- ช่วยประหยัดพื้นที่อย่างดี เมื่อเราใส่สินค้าลงกล่องแล้วก็เอามาซ้อนต่อ ๆ กันได้ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย
- เมื่อไม่ใช้กล่องแล้วเราสามารถพับเก็บได้เลยง่าย ๆ พับวางซ้อนกันได้หนัก ๆ ไม่เกิดปัญหาเสียทรง
- ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กร หรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เป็นตัวส่งเสริมการขายให้สินค้าออกมาดูดี ดึงดูดความสนใจได้ในระดับหนึ่ง
- กระดาษลูกฟูกสามารถทำเป็นกล่องไปรษณีย์ขนาดหลากหลาย ซึ่งเราสามารถเลือกออกแบบให้มีขนาดที่พอดีกับสินค้าของเราได้ 
- เมื่อใช้งานแล้วสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ซ้ำ ๆ ได้เลย ไม่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมอย่างสิ้นเชิง
- สามารถเคลื่อนย้ายไปไหนมาไหนได้ง่าย ทั้งนี้เมื่อใส่สินค้าแล้วก็ยังสามารถยกจัดส่งได้ง่ายด้วย ไม่ลื่นหลุดมือ
- สามารถเป็นช่องทางการสื่อสารไปในตัวได้ เหตุเพราะเราสามารถพิมพ์ออกแบบข้างกล่องได้ตามต้องการ

กล่องกระดาษแบบลูกฟูกค่อนข้างน่าสนใจนำมาใส่สินค้า หรือเก็บของอย่างมาก เนื่องจากมีความหนาบางให้เราเลือกได้เลย ทั้งยังช่วยปกป้องสินค้าไม่ให้พังเสียหาย กระนั้นสิ่งสำคัญที่ไม่อาจละเลยคือต้องเลือกขนาดกล่องให้เหมาะสมกับสินค้าของเราด้วย เพื่อการจัดส่งที่ราบรื่น ซึ่งหากท่านใดที่กำลังมองหากล่องพัสดุ หรือกล่องเก็บสินค้าใด ๆ แล้วลองซื้อมาใช้งานดู รับรองว่าจะติดใจจนไม่อยากเปลี่ยนไปไหน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP0801

35


การเลือกใช้งานโรงเรือนเพาะปลูกนั้นเราต่างนิยมกันอย่างมาก เพราะถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการช่วยเหลือพืชพรรณให้เจริญเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ ซึ่งหากท่านเป็นอีกคนที่ต้องการใช้งานปลูกผัก – ต้นไม้ แล้วต้องการใช้สิ่งนี้ด้วยเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือการเลือกอย่างเหมาะสม ว่าแต่รายละเอียดจะเป็นอย่างไร เรารวบรวมมาให้ทำความเข้าใจอย่างหมดเปลือก

การเลือกโรงเรือนเพาะปลูกผัก – ต้นไม้ ให้ตอบโจทย์การเจริญเติบโต
ท่านใดที่ต้องการบริหารจัดการฟาร์มของตัวเองอยากบอกว่าการเลือกใช้โรงเรือนใช้เพาะปลูกเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้าม เนื่องมาจากโรงเรือนมีหน้าที่ต่าง ๆ ที่สำคัญมาก โดยเฉพาะใครที่สนใจทำเกษตรอินทรีย์ หรือเกษตรปลอดสาร เพื่อเป็นการป้องกันแมลงศัตรูพืชในระดับหนึ่ง รวมถึงยังสามารถควบคุมอุณหภูมิต่าง ๆ ที่มีภายในโรงเรือน ทั้งนี้ ในปัจจุบันได้มีการแบ่งประเภทของโรงเรือนด้วย หลัก ๆ คือ 2 ประเภท ได้แก่
- โรงเรือนไม้ ที่จะใช้ไม้เป็นโครงสร้าง แล้วเอาพลาสติกมาคลุมทั้งโครงสร้างไว้เลย สร้างง่าย รวดเร็ว ไม่นานก็มีใช้งานแล้ว ต้นทุนน้อย แต่อายุการใช้งานก็จะไม่ยาวนาน
  - โรงเรือนเหล็ก ที่จะใช้เหล็กเป็นโครงสร้างทั้งหมด มีความแข็งแรง ทนทาน ทนทั้งแสงแดดและลมพัด แต่ก็ต้องใช้ต้นทุนในการสร้างที่แพงกว่าโรงเรือนไม้

เลือกโรงเรือนต้องพิจารณาถึงเรื่องใดเป็นสำคัญ
ซึ่งในการเลือกโรงเรือนปลูกผัก – ต้นไม้ ไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตามจะต้องคำนึงถึงต้นทุนการสร้างและดูที่ราคาผัก - ต้นไม้ที่จะปลูกด้วย ซึ่งเราก็ต้องให้การปลูกสร้างสอดคล้องกัน เช่น ผักหาซื้อยาก ผักต่างประเทศ ก็ควรต้องเลือกโรงเรือนที่ต้นทุนสูงเพื่อให้ได้ผลผลิตที่น่าพึงพอใจ และได้ผลกำไรกลับมาในระยะเวลาอันสั้น

แต่หากท่านใดที่ปลูกพืชราคาเบา ๆ ก็ใช้เป็นโรงเรือนไม้ก็ได้ ต้นทุนไม่สูงนัก เพื่อเป็นแค่แหล่งเพาะพันธุ์ที่ดูแลต้นอ่อนพืช ใส่ใจในช่วงแรก ๆ ช่วยพืชในการควบคุมอุณหภูมิต่าง ๆ ได้อย่างดี รวมทั้งบรรดาแมลงต่าง ๆ ไม่ว่าจะ ไม้ประดับต่าง ๆ ดังเช่น แคคตัส เฟิร์น หรือ กล้วยไม้ เป็นต้น

นอกจากนี้ โรงเรือนปลูกต้นไม้ – พืชผักต่าง ๆ ต้องพิจารณาตามอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตด้วย และตัวโรงเรือนที่เลือกก็ต้องรับแรงลมได้อย่างดี เผื่อว่าวันไหนฝนตกลมแรงก็ยังป้องกันพืชผักต้นไม้ของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมากจะสร้างไว้ทางทิศเหนือ หรือทิศใต้ดีที่สุด

เรื่องแสงแดดก็สำคัญ เราต้องคำนึงถึงการได้รับของแต่ละพืชพรรณด้วย เพราะว่าบางชนิดได้รับมากเกินไปก็ทำให้แห้งตายได้ รวมทั้งเรื่องความชื้นที่ต้องดูทั้งกลางวันกลางคืน พืชที่ชอบแดดรำไรเราควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออก ส่วนพืชที่ชอบแดดจัด ๆ ก็ควรตั้งไว้ทางทิศใต้ หรือทิศตะวันตก

ไม่เพียงแต่การเลือกโรงเรือนเพาะปลูกที่ควรต้องเป็นไปอย่างเหมาะสม เพื่อพืชผัก หรือต้นไม้ที่เจริญเติบโตได้ผลผลิตดีเท่านั้น เรื่องของการเก็บเกี่ยวผลผลิตก็เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งเราควรนึกถึงความสะดวกสบาย และไม่ทำให้เกิดความเสียหายของพืชผักต่าง ๆ นำไปสู่การส่งออกที่ได้ผลกำไรมหาศาล

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/OUT0209

36


ถือเป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญมาก ๆ ก่อนที่จะใช้งานถังพ่นยาสะพายหลังได้ อย่างการศึกษาถึงวิธีการทำงานที่ถูกต้อง เหมาะสม รวมทั้งสิ่งที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับปัจจัยภายนอกก่อนใช้งาน เพื่อให้เข้าใจและใช้งานได้อย่างถูกต้อง ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไร ท่านไหนอยากทราบก็ตามเรามาทางนี้ด่วน

การใช้งานถังพ่นยาสะพายหลังอย่างถูกต้องและเหมาะสม
ก่อนสิ่งอื่นใดอยากให้รู้จักถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีของถังพ่นนี้ ซึ่งปกติแล้วได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายมาก ๆ โดยจะมีเป็นความดัน, วาล์วทางออก, กระบอกลม, วาล์วทางเข้า, วาล์วระบายความดัน, ก้านปั๊ม รวมถึงรูปแบบหัวฉีดที่มีให้เราเลือกหลากหลาย แต่ละรูปแบบก็จะพ่นออกมาแตกต่างกัน

แนะนำว่าให้อ่านรหัสเครื่องก่อนว่าใช้กับหัวฉีดไหน เพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้งานได้เหมาะสม ทั้งนี้ การใช้คันโยกจะเหมาะกับถังที่มีขนาด 15 – 20 ลิตร และต้องตั้งตรงบนพื้น และทุกอย่างก็ต้องพอดีกับหลังของผู้ใช้งานด้วย ปัจจุบันก็มีเป็นเครื่องพ่นยาแบตเตอรี่สะพายหลังให้ใช้งานด้วยก็ไม่ต้องมาโยกคันเอง
แต่ถ้าท่านไหนถนัดแบบพ่นเอง โยกคันโยกเอง ก็สามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสม โดยการทำงานนั้นเมื่อของเหลวผ่านวาล์วทางเข้าก็จะเข้าไปที่ห้องปั๊มในจังหวะที่ถูกยกขึ้น และในจังหวะที่ยกลงของเหลวก็จะปั๊มโดยบังคับผ่านวาล์วทางออกไปในห้องแรงดัน

ปัจจัยภายนอกที่เราต้องพิจารณาก่อนใช้งาน
ปัจจัยภายนอกที่สัมพันธ์กับการใช้งานถังฉีดพ่นยาก็คือเรื่องของสภาพอากาศ อุณหภูมิ และพื้นที่ในการใช้งาน โดยแบ่งออกเป็น
- อุณหภูมิของวัน ที่ไม่ควรฉีดพ่นในช่วงที่ร้อนที่สุด เนื่องด้วยละอองเล็กจะระเหยไปเร็วมาก และพ่นไปไม่ถึงเป้าหมายที่ต้องการ เสียเงินและเปลืองเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
- แรงลม ที่ไม่ควรฉีดพ่นในวันที่มีลมแรงมาก ทั้งนี้เพราะละอองจะลอยไปในทิศทางต่าง ๆ ไปไม่ถึงเป้าหมาย หากใช้เป็นหัวพ่นใหญ่ก็จะทนลมได้ แต่ก็ไม่แนะนำให้ในช่วงที่ลมเร็วมากกว่า 6 กม. / ชม.
- พื้นที่ในการฉีดพ่น ที่หากเป็นระยะการเพาะปลูก ความหนาแน่นของพืช ก็จะมีผลต่อการเลือกอัตราปริมาตรที่ใช้ด้วย โดยถ้าเป็นพืชใหญ่เท่าไหร่อัตราหน่วยปริมาณสเปรย์โดยมีค่าเทียบเท่าหน่วยลิตร / เฮกแตร์ก็จะสูงมากเท่านั้น เป็นการฉีดให้ครอบคลุมพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ (ปริมาณสเปรย์ที่ควรใช้จะถูกระบุบนภาชนะของสารเคมี)

รู้ทั้งการใช้งาน และปัจจัยที่ต้องดูก่อนใช้งานถังพ่นยาแบบสะพายหลังกันไปแล้ว ก็หวังว่าทุกคนจะใช้งานฉีดพ่นน้ำยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จัดการศัตรูพืชวายร้ายทำลายผลผลิตได้แบบถูกใจ ไม่เสียสตางค์ เปลืองแรงเปล่า

ชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/OUT0208

37


หากท่านเป็นคนหนึ่งที่มีความสนใจอยากเลือกซื้อจอมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ไว้ใช้งาน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเลือกชนิดไหน อย่างไรดี พาให้เกิดความลังเลไปได้ ทว่าต่อจากนี้ไปจะไม่มีคำว่าลังเลอีก เพราะได้รวบรวมวิธีการเลือกที่เหมาะสมมากที่สุดมาบอกต่อ รับประกันว่าช่วยให้การเลือกซื้อรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพการใช้งานดีสุด ๆ

5 การเลือกซื้อจอมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม
1. การใช้งานได้ทุกสภาพแสง
ปัจจุบันนี้จอประเภทนี้จะมีให้เราเลือกใช้งานหลัก ๆ 3 ประเภท คือ IPS มีมุมมองปานกลาง ได้สีปานกลาง, TN มีมุมที่ไม่ค่อยมาก และ VA เป็นมุมที่กว้าง เม็ดสีใช้งานได้คุณภาพดี ซึ่งเราจำเป็นต้องเลือกหน้าจอให้ตอบสนองกับสถานที่ใช้งาน ซึ่งหน้าจอที่คุณภาพต่ำทำไห้มองเห็นภาพได้ไม่ชัด

2. จำนวนเม็ดสี – พิกเซล 
เลือกจอคอมพิวเตอร์ใช้งานทั้งทีก็ต้องใส่ใจกับจำนวนเม็ดสีที่ติดมากับเครื่องด้วย หากทำงานเอกสารทั่วไปไม่ต้องใช้เม็ดสีมากก็ได้ แต่แม่สีควรอยู่ที่ 28 บิต หรือผสมผสานระหว่างสีแดง 8 บิต สีน้ำเงิน 8 บิต และสีเหลือง 8 บิต แต่ถ้ามือโปรต้องทำภาพกราฟิกใช้ในราคาที่แพงขึ้นหน่อยก็จะได้เม็ดสีเพิ่มขึ้น ภาพคมชัดสวยงามมากขึ้น

3. อุปกรณ์เสริมคู่จอควร Support ผู้ใช้งาน
อุปกรณ์ที่มีให้คู่จอ อาทิเช่น ขาตั้ง หรือคอของจอ ควรสามารถปรับระดับได้อย่างดี ในองศาที่ตอบโจทย์ เมื่อเราใช้งานก็จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น หรือช่องเสียบต่าง ๆ ก็ควรมีให้เสียบสายครบครัน บางเครื่องมีแค่สายแลนเชื่อมต่อจอไปยังตัวคอมพิวเตอร์เท่านั้นเอง ซึ่งไม่พอใช้งานแน่นอน

4. หน้าจอต้องมีค่ารีเฟรชเรทลื่นไหลดี
การแสดงผลจอ monitor คอมพิวเตอร์จะต้องมีการแสดงผลภาพนิ่งที่ผ่านหน้าจอ 1 วินาทีได้หลายเฟรมภาพด้วย เพื่อให้การส่งภาพของเราไม่สะดุด ไหลลื่น เสถียรไปได้เรื่อย ๆ เช่น 60 Hz, 120 Hz และ 144 Hz เป็นต้น ซึ่งตัวเลขที่มีให้กับเครื่องเหล่านี้จะแสดงผลหน้าจอ 1 วินาที ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงคุณภาพความลื่นไหลที่หน้าจอมีให้กับเราตามลำดับค่าตัวเลขนั้น ๆ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่แค่การเลือกซื้อจอมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์เท่านั้นที่เราต้องเอาใจใส่ ยังมีในเรื่องของการวางจอคอมพิวเตอร์ ให้เหมาะกับการใช้งานด้วย เพื่อให้ไม่เสี่ยงปัญหาสุขภาพ และใช้งานผ่านไปได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าจะ วางให้ต่ำกว่าระดับสายตา 15 – 30 องศา, วางให้ห่างจากสายตา 1 ช่วงแขน, วางไว้ด้านหน้าผู้ใช้งานโดยตรง, วางให้ห่างจากหลอดไฟ หรือหน้าต่างที่แสงสว่างส่องถึงมากเกินไป รวมทั้งวางในตำแหน่งที่ลดแสงสะท้อนได้ดีด้วย หวังว่าต่อจากนี้จะไม่มีความลังเลหลงเหลือกันอีกแล้ว

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/TVA1101

38


เมื่อเอ่ยถึงการฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์แล้วนั้นเชื่อเหลือเกินว่ายังมีหลาย ๆ คนเข้าใจผิดคิดว่าเลือกที่มีความเข้มข้นสูง ๆ เลยจะช่วยฆ่าเชื้อโรค หรือเชื้อโควิด - 19 ได้อย่างดี ทั้งที่จริงแล้วเป็นความเข้าใจที่ผิด กระนั้นก็ทำเอาเกิดข้อสงสัยทันทีว่าทำไมใช้แบบความเข้มข้นสูงจึงฆ่าเชื้อได้ไม่ดี?? แน่นอนว่าไม่รอช้ารวบรวมข้อมูลมาให้ทำความเข้าใจอย่างหมดเปลือก

เพราะเหตุใดการใช้แอลกอฮอล์ความเข้มข้นสูงถึงฆ่าเชื้อได้ไม่ดี??
หากพบว่าเจล หรือสเปรย์แอลกอฮอล์มีความเข้มข้นที่มากกว่า 91% ขึ้นไป จะถือว่าความเข้มข้นในการใช้งานมากเกินไป และจะส่งผลต่อโปรตีนด้านนอกของเยื่อหุ้มเซลล์ที่เสียสภาพไปอย่างเดียวเฉย ๆ เหตุเพราะเกิดการระเหยที่รวดเร็วเกินไป ทำให้ความสามารถในการฆ่าเชื้อทำงานได้ไม่ดี หรือไม่ทำงานเลย จึงเป็นเหตุผลที่ไม่ควรเลือกค่าความเข้มข้นสูงมาใช้งานนั่นเอง

แล้วค่าความเข้มข้นเท่าไหนถึงจะช่วยฆ่าเชื้อได้ดีที่สุด??
โดยทั่วไปแล้ว Alcohol ล้างมือ หรือที่ใช้ทำความสะอาดพื้นผิวก็ตามส่วนใหญ่จะมีปริมาณความเข้มข้นที่ 70 - 90% โดยที่มีความสามารถในการฆ่าเชื้อโควิด - 19 ได้ด้วย รวมถึงเชื้อรา เชื้อวัณโรค เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสบางชนิดได้ดี ดังนั้นจึงเป็นคำตอบให้ทุก ๆ คนแล้วว่าควรเลือกใช้ไม่ว่าจะสเปรย์ หรือเจลแอลกอฮอล์ควรมีความเข้มข้น 70 - 90% โดยปริมาตรเท่านั้น เนื่องมาจากเมื่อละลายกับน้ำก็จะช่วยให้การแพร่กระจายไปผ่านเยื่อหุ้มเซลล์เชื้อโรคดีมาก ๆ โปรตีนที่มีก็เสื่อมสภาพ ทำให้เยื่อหุ้มเซลล์แตกจนเข้าไปรบกวนระบบของเชื้อโรคทำให้เชื้อโรคตายลงในที่สุด
ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่การเลือกความเข้มข้นใน Alcohol เท่านั้นที่สำคัญ แต่การใช้งานก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะหากใช้งานอย่างถูกต้อง และเหมาะสมก็จะช่วยให้การฆ่าเชื้อโรค รวมถึงเชื้อโควิด - 19 ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างเช่น
- การใช้งานควรฉีดให้ครอบคลุมทั้งมือ และไม่ควรใช้กับพื้นผิวที่มีคราบมัน หรือสิ่งสกปรกมัน ๆ มากเกินไป
- เมื่อฉีดสัมผัสมือทั้งหมดแล้วก็ควรปล่อยให้ระเหยแห้งเอง ไม่ควรเช็ดออกทันทีเพราะแบบนั้นจะเท่ากับว่ายังไม่ได้ฆ่าเชื้อโรคใด ๆ
- ในการถูมือด้วยเจล หรือสเปรย์ Alcohol ควรถูกให้ทั่วทั้งฝ่ามือ หน้ามือ หลังมือ และซอกนิ้วทุกนิ้ว

แอลกอฮอล์ยังคงเป็นไอเท็มที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิตในทุก ๆ วันของเราทุกคนอย่างที่สุด เหตุเพราะเชื้อโรค รวมถึงเชื้อโควิด - 19 ก็ยังคงวนเวียนกับเรารอบตัวไม่หายไปไหนง่าย ๆ การป้องกันดูแลตัวเองด้วยวิธีที่ถูกต้อง เหมาะสม อย่างการเลือกความเข้มข้น 70 - 90% ของปริมาตร รวมถึงการใช้งานเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอย่างสิ้นเชิง

ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP0613

39


ปัญหาแพ้หน้ากากอนามัยเชื่ออย่างยิ่งว่าหลายคนกำลังประสบพบเจอกันอยู่ ก็เพราะเราจำเป็นต้องสวมอยู่แทบจะทั้งวันกว่าจะกลับบ้านอาบน้ำ แล้วปัญหาแบบไหนควรแก้ไขยังไง เชื่อว่ามีหลาย ๆ คนอยากรู้อย่างมาก เพื่อนำไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ว่าแล้วก็ไปติดตามกันดีกว่า
5 ปัญหาแพ้หน้ากากอนามัยแก้ไขได้ไม่ยาก
1. แพ้แล้วคันหู คันจมูก
ท่านไหนที่กำลังพบเจอกับปัญหาแพ้หน้ากากแล้วกำลังกันหู คันจมูกอยู่ หายใจได้ไม่สะดวก สายคล้องหูชอบหลุด หรือบางอันก็แน่นมากเกินไปจนเป็นรอย ดึงขึ้นดึงลงให้พอดีเท่าไหร่ก็ไม่พอดี แปลว่าหน้ากากของคุณไม่พอดีกับรูปหน้าแล้ว เกิดคันจมูก กลายเป็นแผลได้ วิธีการแก้ไขนั้นก็จำเป็นต้องเลือกขนาดของหน้ากากให้พอดีกับหน้าของเราให้มากที่สุด

2. แพ้แล้วเกิดผื่นขึ้น
เมื่อก่อนไม่เคยใช้แมส ก็ไม่มีปัญหาผิว แต่พอใส่ไปใส่มาทุกวันนี้คันหน้า เกิดผื่นขึ้น เป็นผดเล็ก ๆ ไม่พอบางคนเกิดลุกลามกลายเป็นสิวไปอีก ซึ่งก็เกิดได้ทั้งจากการแพ้ต่าง ๆ อย่าง แพ้เครื่องสำอางเมื่ออับชื้น แพ้จากการอับชื้นทั่วไป แพ้จากวัสดุที่ใช้ทำหน้ากาก ฯลฯ วิธีการแก้ไขนั้นให้ท่านเปลี่ยนไปใช้แบบผ้าสวมก่อนแล้วเอาหน้ากากทางการแพทย์สวมทับอีกชั้น หรือจะเปลี่ยนหน้ากากทุกวัน ล้างมือก่อนสัมผัสหน้ากากก็ช่วยได้

3. แพ้แล้วเป็นสิว
เป็นปัญหาคลาสสิคแบบสุด ๆ ก็คือเป็นสิวเห่อขึ้นมาเลย ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากผ้าที่ทำจากผ้าสาลู ผ้าฝ้าย หรือผ้ามัสลิน หรือหน้ากากทางการแพทย์บางคนก็แพ้ วิธีการแก้ไขปัญหานี้ก็คือต้องใช้เป็นหน้ากากผ้านาโน หรือวัสดุที่ช่วยระบายอากาศภายในได้ดี ไม่เป็นเหตุให้เกิดความอับชื้น

4. แพ้แล้วหน้าลอก
สุดท้ายคือปัญหาการใช้แมสปิดปากแล้วเกิดหน้าลอกโดยเฉพาะบริเวณที่ต้องสัมผัสกับหน้ากาก ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากความอับชื้น มีสิ่งสกปรกที่เกิดขึ้นจากเชื้อโรค เกิดอาการคัน หากปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ ก็เผลอไปเกากลายเป็นแผลไปได้ บางท่านปล่อยไว้นานเป็นเชื้อรา กลาก เกลื้อนได้ด้วย วิธีการแก้ไขปัญหาก็คือใช้ทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว นอกจากนี้ต้องทำความสะอาดใบหน้าอย่างหมดจดด้วยโฟมล้างหน้าเป็นประจำ และใช้หน้ากากเสร็จต่อวันก็ทิ้งเลย เป็นการเช็กความสะอาดของหน้ากากได้ดี

เพียงเท่านี้การใช้หน้ากากอนามัยของคุณก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ที่มากวนใจ และบางคนก็อาจจะต้องไปเสียเงินเพื่อรักษาผิวหน้าไปอีก ใครที่รู้ตัวว่ากำลังประสบปัญหาไหนสุด ๆ ก็ลองนำวิธีแก้ไขนี้ไปปรับใช้ได้เลย ทางที่ดีในการเลือกซื้อหน้ากากทางการแพทย์ หรือหน้ากากผ้าก็ตามจำเป็นต้องดูที่วัสดุที่ใช้ทำ รวมถึงความปลอดภัยที่ต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานในประเทศไทยแล้วเท่านั้น

ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/TOO020106

40


เดทตอล” เป็นอีกตัวช่วยทำความสะอาด ฆ่าเชื้อต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือฆ่าเชื้อโควิด - 19 ซึ่งก็มีชนิดที่สามารถนำมาใช้งานกับผิวหนังได้ด้วย ทำให้หลายท่านอาจเกิดความสงสัยและอยากรู้ว่าถ้าเราจะเอามาผสมกับน้ำเปล่าใช้สำหรับฉีดฆ่าเชื้อทดแทนสเปรย์แอลกอฮอล์เลยได้หรือเปล่า?? แน่นอนว่าไม่รอช้าไปหาคำตอบมาให้ค้นหาความจริง

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักชนิดของ “เดทตอล” กันก่อนดีกว่า..
โดยทั่วไปนั้นผลิตภัณฑ์ที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้จะแบ่งการใช้งานออกเป็น 2 ลักษณะด้วยกัน คือ
1. ประเภท Dettol Antiseptic Disinfectant
จะมีจุดสังเกตคือมงกุฎสีฟ้าซึ่งจะสามารถนำมาใช้สัมผัสที่ผิวหนังได้ โดยใช้ฆ่าเชื้อแผลแมลงสัตว์กัดต่อย บาดแผลต่าง ๆ ขจัดรังแค หรือผสมอาบน้ำเพื่อฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังสามารถเอามาผสมเช็ดล้างเครื่องมือ ของใช้อุปกรณ์ส่วนตัวต่าง ๆ ได้ด้วย การแพทย์ก็สามารถเอามาใช้ล้างเครื่องมือแพทย์ การผ่าตัดต่าง ๆ ใครจะเอามาฆ่าเชื้อเสื้อผ้าซักล้างทำความสะอาดก็ได้ด้วย คุณสมบัติคือฆ่าเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัสที่เป็นสาเหตุทำให้เราติดเชื้อได้ 99.9%

2. ประเภท Dettol Hygiene Multi-Use Disinfectant
อีกประเภทคือจะใช้ฆ่าเชื้อโรคอเนกประสงค์ โดยที่สูตรนี้จะไม่มีภาพมงกุฎสีฟ้าที่ขวด สามารถฆ่าเชื้อโรค หรือเชื้อรา เชื้อแบคทีเรียได้ 99.9% แต่จะไม่สามารถนำมาใช้กับผิวหนังเราได้โดยตรง ก็เพราะว่ามีส่วนผสมที่ใช้ฆ่าเชื้อโรคในกลุ่ม “สารประกอบคลอโรเมธิลฟีนอล” ที่ค่อนข้างรุนแรง สังเกตใน
การนำน้ำยาทำความสะอาดนี้มาใช้ด้วยมงกุฎสีฟ้าให้ดี

แล้วจะผสมน้ำเปล่าใช้แทนสเปรย์แอลกอฮอล์ได้ไหม??
หลาย ๆ ท่านพอรู้แล้วว่า Dettol สามารถผสมน้ำใช้ฆ่าเชื้อโรคจากเสื้อผ้า จากเครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ ได้ และยังใช้กับผิวหนังโดยตรงได้อีกก็เลยอยากเอามาผสมน้ำแล้วใช้ฆ่าเชื้อทดแทนสเปรย์แอลกอฮอล์ ซึ่งอยากบอกว่า “ไม่แนะนำ” โดยสิ้นเชิง ก็เพราะว่าการนำมาทำเป็นสเปรย์ฆ่าเชื้อแบบผสมน้ำเปล่าเตรียมไว้ล่วงหน้าจะทำให้น้ำยามีความเข้มข้นที่คาดการณ์ไม่ได้ ไม่แน่นอน และก็จะส่งผลให้ไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้นั่นเอง ยังไงการพกสเปรย์แอลกอฮอล์ไว้ย่อมดีกว่าเสมอทั้งนี้เพราะมีส่วนฆ่าเชื้อโควิด - 19 ได้มากถึง 97% เลยทีเดียว หรือถ้าจะเอา Dettol มาล้างมือก็ “ไม่แนะนำ” อีกเช่นกัน เอาเป็นสบู่ล้างมือจะดีกว่า

เมื่อทราบอย่างนี้แล้วก็หวังว่าทุก ๆ คนจะเข้าใจมากขึ้น ซึ่งเดทตอลช่วยฆ่าเชื้อโควิด - 19 ได้จริง แต่ก็ยังไม่เหมาะที่จะผสมน้ำเตรียมไว้ล่วงหน้าเพื่อฉีดล้างมือ เพราะแบบนั้นน้ำจะไปเจือจางสารช่วยให้ลดลงมากกว่า ทางที่ดียังคงต้องพกสเปรย์แอลกอฮอล์ไว้ หรือถ้าจะล้างมือก็ใช้สบู่เลยดีที่สุด ทั้งนี้ หากจะซื้อ Dettol มาใช้ก็ต้องดูวัตถุประสงค์ด้วย ก็เพราะว่าถ้าใช้กับผิวหนังต้องมีมงกุฎสีฟ้าเท่านั้น

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/HHP0609

41


การปูพื้นด้วยหญ้าเทียมได้รับความนิยมสูงมาก ด้วยความสวยงาม มองไปแล้วดูสบายตาอย่างเป็นธรรมชาติ ทว่าก่อนจะเลือกซื้ออยากให้หลายท่านได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับส่วนประกอบที่มี เพื่อสร้างความเข้าใจในการนำไปใช้ ซึ่งจะมีส่วนประกอบอะไรบ้าง ไปติดตามพร้อม ๆ กันได้เลย แล้วการเลือกซื้อจะผ่านไปได้ราบรื่นมากขึ้น ไม่ต้องเสียเงินเสียทองซื้อบ่อย

ส่วนประกอบของหญ้าเทียมมีอะไรบ้าง?
โดยทั่วไปแล้วหญ้านี้จะมีความยาวอยู่ประมาณ 5 – 60 มิลลิเมตร และมีความหนาอยู่ประมาณ 1 – 5 มิลลิเมตร มีทั้งแบบม้วนเป็นเมตรกว้าง 2 – 4 เมตร และเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสซึ่งเมื่อคิดติดตั้งก็ต้องให้หญ้ามีขนาดที่พอดีกัน แต่ยิ่งพื้นที่มากหญ้าเทียมราคาก็จะสูงตามลำดับ ถามว่าหญ้าดังกล่าวจะมีส่วนประกอบอะไรบ้าง?
1. ฐานหญ้า หรือ Backing
จะเป็นส่วนของฐานหญ้าที่ทำมาจากเส้นใยสังเคราะห์โพลีเอทิลีน ใช้เส้นใยในลักษณะแบบสานติดกันเป็นแผ่น ๆ เปรียบเสมือนเป็นดินให้กับหญ้า มีส่วนช่วยระบายน้ำออกได้ดีเมื่อเจอน้ำฝนตกใส่ จึงไม่ทำให้เกิดการอบ กักเก็บน้ำไว้ใด ๆ
2. ตัวหญ้า หรือ Artificial Turf
สำหรับตัวหญ้าเทียมปูพื้นนั้นก็จะใช้เป็นเส้นใยสังเคราะห์โพลีเอทิลีนอีกเช่นกัน ซึ่งคุณสมบัติจะมีความทนทานสูงมาก ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพอากาศแบบไหนก็ไม่เสียหายง่าย มีสารเคลือบป้องกันรังสี UV ใข้งานต่อไปได้แบบยาว ๆ ไม่เสื่อมสภาพไวอย่างที่คิด
3. ทรายที่แทรกตามตัวหญ้า และยาง หรือ Infill
เป็นอีกส่วนประกอบที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ กับทรายที่แทรกตามหญ้าจะใช้เป็นซิลิกา ไม่กลมมน ไม่มีเหลี่ยมหรือมุมใด ๆ ความยืดหยุ่นสูงมาก เป็นการลดความเสี่ยงบาดเจ็บ หรือเกิดอุบัติเหตุที่มาจากทรายในหญ้า พร้อมช่วยป้องกันไม่ให้เส้นใยของหญ้าที่มีฉีกขาดง่าย หรือลดความเสียหายที่เกิดจากนักกีฬา หรือตัวคนเมื่อเหยียบย่ำได้ดี ส่วนตัวยางนั้นก็จะทำหน้าที่ให้ใยหญ้าคืนกลับสู่สภาพเดิมได้ไวหลังถูกหยียบไปแล้ว และช่วยให้การสัมผัสของนักกีฬากับเส้นใยคล้ายเหยียบหญ้าจริง เพิ่มความรู้สึกร่วมในการใช้งาน

หญ้าเทียมจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้ใช้งานในสนามฟุตบอลเท่านั้น หากคุณ ๆอยากปูพื้นหญ้าหน้าบ้านเพิ่มความสดใสอย่างเป็นธรรมชาติก็ทำได้ด้วย การปูมีทั้งแบบทับพื้นดิน และพื้นปูนซีเมนต์ โดยลักษณะการติดตั้งจะแตกต่างกันไป ใครอยากติดตั้งบนพื้นแบบไหนก็อยากแนะนำให้ศึกษาวิธีการปูอย่างละเอียด หรือถ้าจะให้ดีที่สุดเรียกผู้เชี่ยวชาญมาช่วยปูเลยสบายใจ ใช้งานได้เต็มที่ ไม่เปลืองเงินเงินอย่างที่คิด ได้ในสิ่งที่ตนเองคาดหวังเอาไว้แน่

สั่งซื้อสินค้าได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/OUT0401

42


พ่อค้าแม่ค้าร้านออนไลน์เปิดให้บริการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่ากล่องกระดาษไปรษณีย์นั้นมีความสำคัญ และจำเป็นอย่างมาก แต่ด้วยขนาดที่มีให้เลือกหลากหลาย จึงอาจกลายเป็นปัญหาให้กับหลาย ๆ คน ทั้งนี้เพราะไม่ทราบว่าสินค้าประเภทไหนจะเลือกใช้กล่องขนาดใดได้บ้าง จึงไม่พลาดรวบรวมข้อมูลมาให้พิจารณา เพื่อการใช้งานที่ตอบสนองความต้องการขั้นสุด

สินค้าประเภทไหนควรเลือกกล่องกระดาษอย่างไร?
1. สินค้าแบบขายปลีก
เผื่อว่าร้านไหนเป็นแบบขายปลีกที่ขนาดสินค้าไม่ได้ใหญ่มาก ประมาณ 1 – 10 ชิ้นแบบไม่เกิน 5 เซนติเมตร แนะนำว่าให้เลือกเป็นกล่องขนาด 00 หรือ A ได้เลย เนื่องมาจากจะกะทัดรัด แพ็คง่าย และส่งสินค้าไปยังลูกค้าได้แบบปลอดภัยหายห่วง โดยส่วนมากก็จะเขียนจ่าหน้าที่อยู่ของผู้ส่ง - ผู้รับได้เลยด้วย เพิ่มความน่าเชื่อถือให้ร้าน แต่ตอนห่อแนะนำว่าให้ใช้บับเบิ้ลช่วยในกรณีที่ของแตกหักง่ายถ้าโยนหรือโดนทับ

2. สินค้าแบบขายยกโหล
สำหรับท่านใดที่ขายแบบสินค้ายกโหล สินค้าจำนวนมาก หรือสินค้ามีขนาดใหญ่ต้องการพื้นที่เมื่อวางสินค้าไปแล้วมีเหลือเพียงพอต่อการกันกระแทก (ห่อบับเบิ้ล) แนะนำว่าให้เลือกเป็นกล่องไปรษณีย์ขนาดใหญ่ตั้งแต่ B, C หรือ D ไปเลย (จริง ๆ มีขนาดใหญ่กว่านี้สอบถามร้านขายกล่องก่อนได้) เพื่อให้การจัดส่งถึงปลายทางอย่างปลอดภัยและถึงทีเดียวพร้อมกัน ไม่ต้องมาแยกกล่องเล็กให้เสียเวล่ำเวลา และสิ้นเปลืองค่าขนส่ง รวมถึงเกิดกล่องหนึ่งหายไปเป็นเรื่องใหญ่ไปอีก

3. สินค้าประเภทรองเท้า หรือกระเป๋า
หากเป็นสินค้าประเภทรองเท้า หรือกระเป๋าแล้ว เราจำเป็นต้องเลือกใช้กล่องไปรษณีย์ขนาดใหญ่อย่างเบอร์ D ไปเลย เพราะอย่างที่ทราบถ้ากล่องขนาดใหญ่พื้นที่ภายในก็จะกว้าง ด้วยรูปทรงของรองเท้า หรือกระเป๋าบรรจุแล้วจะไม่เสียทรง กระนั้นหากเป็นกระเป๋าใบเล็ก ๆ ก็ใช้เป็นกล่องขนาด B, C ก็ไม่มีปัญหา แต่อยากให้วัดขนาดเซนติเมตรก่อนแล้วเลือกกล่องดีที่สุด

ขนาดกล่องไปรษณีย์ที่มีในปัจจุบัน
เผื่อว่าท่านใดที่อยากทราบขนาดกล่องให้มากขึ้นเราก็มีมาแนะนำพอสังเขปเพื่อช่วยตัดสินใจการสั่งมาใช้งาน ได้แก่ ขนาดกล่อง เบอร์ A ที่ 14 X 20 X 6 เซนติเมตร, ขนาดกล่องเบอร์ B ที่ 17 X 25 X 9 เซนติเมตร, ขนาดกล่องเบอร์ C ที่ 20 X 30 X 11 ซม., ขนาดกล่องเบอร์ D ที่ 22 X 35 X 14 เซนติเมตร, ขนาดกล่องเบอร์ E ที่ 24 X 40 X 17 เซนติเมตร, ขนาดกล่องเบอร์ F ที่ 30 X 45 X 20 เซนติเมตรเป็นต้น

กล่องกระดาษเพื่อการนำไปใช้ส่งพัสดุมีให้เลือกหลากหลายแบบ แนะนำว่าการพิจารณาจากขนาดของสินค้าที่ขายแล้วค่อยซื้อย่อมดีกว่า เพื่อให้ไม่ผิดพลาดเสียเงินไปโดยใช่เหตุ แล้วการส่งพัสดุถึงมือลูกค้าของท่านจะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า จนกลับมาซื้อซ้ำอีกหลายรอบแน่นอน

เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่
Website : https://www.homepro.co.th/c/HHP0801

43


เมื่อกล่าวถึงกระดาษทิชชู่ขึ้นมาแล้ว แน่นอนว่าในท้องตลาดมีให้เลือกหลากหลาย ทั้งชนิด สี เนื้อสัมผัส ฯลฯ อย่างไรก็ตามสิ่งที่หลาย ๆ คนอาจสงสัยกันอยู่คือประเภทการใช้แบบชำระทั่วไป และแบบเช็ดหน้า ซึ่งเรื่องนี้ควรให้ความสำคัญกันอย่างที่สุด เนื่องจากหากเลือกใช้ได้เหมาะสมก็จะไม่เป็นอันตรายต่อผิวสัมผัสร่างกาย ซึ่งแต่ละประเภทจะเป็นอย่างไรนั้นเราไปติดตามกันเลยดีกว่า

ลักษณะของกระดาษทิชชู่แบบทั่วไป VS เช็ดหน้า
ทิชชู่แบบทั่วไป หรือที่เรียกกันติดปากว่า “กระดาษชำระ” เป็นกระดาษที่พบได้ในห้องน้ำสาธารณะ หรือตามร้านอาหารที่วางไว้บนโต๊ะอาหารให้หยิบใข้งาน ส่วนมากผลิตจากต้นไม้ รวมถึงเยื่อหมุนเวียนใหม่ที่มาจากกระดาษรีไซเคิล โดยเรื่องของขนาดนั้นจะมีได้ทั้งเล็กและใหญ่ต่างกันไปตามยี่ห้อที่ผลิต มีทั้งแบบสีขาว หรือลวดลาย สีสันต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วปัจจุบันจะผลิตให้มีความหนามากกว่า 2 ชั้น โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ
1. ทิชชูแบบม้วนใหญ่ หรือแบบ Jumbo Roll Tissue มีให้เห็นตามห้องน้ำห้างสรรพสินค้า หรือตามองค์กรต่าง ๆ ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ ราคาไม่แพง มีความบางของกระดาษเพื่อให้ความยาวในการดึงใช้งานเพิ่มมากขึ้น ซึมซับของเหลวได้น้อย สะดวกต่อการใช้ ไม่ต้องเปลี่ยนม้วนใหม่บ่อย ผลิตจากกระดาษธรรมชาตินำเนื้อเยื่อมาทำ จึงไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

2. ทิชชูแบบม้วนเล็ก หรือแบบ Bathroom Tissue มีให้เห็นได้ตามร้านอาหาร ในบ้าน ครัวเรือนต่าง ๆ เนื้อสัมผัสจะเป็นได้หลากหลาย นำไปประยุกต์ใช้ตามต้องการไม่ใช่แค่ในห้องน้ำเท่านั้น ใช้เช็ดสิ่งต่าง ๆ ก็ไม่มีปัญหา

วิธีใช้กระดาษทิชชูอย่างเหมาะสม
แน่นอนว่าการนำไปใช้นั้นมีหลากหลาย แต่ที่ไม่เหมาะสมเลยคือการเช็ดตามผิวโดยเฉพาะผิวหน้า เพราะว่าโอกาสที่จะเกิดการระคายเคืองมีสูง บางแบรนด์ถูกเกินไปผลิตแบบไม่ได้มาตรฐาน เอามาเช็ดก็เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียได้ด้วย ไม่ว่าจะนำไปเช็ดก้น หรือแม้แต่เช็ดผิวที่มีบาดแผลก็ตาม

กลับกันหากเป็นทิชชู่เช็ดหน้าจะอยู่ในลักษณะเป็นแผ่น ๆ ดึงใช้งานได้ตามสบาย จะซับเหงื่อ หรือเช็ดเครื่องสำอางได้หมด มีทั้งแบบขาวสะอาด และมีลวดลาย ถูกบรรจุในกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า เนื้อกระดาษจะเรียบหนา มีอย่างน้อย 2 ชั้น นุ่ม สะอาด และมีค่า pH ที่ 5.5 – 8.5 เหนียวมากกว่าชนิดอื่น และใช้ได้แม้ผิวสัมผัสจะบอบบางแพ้ง่ายแค่ไหนก็ตาม

สำหรับท่านใดที่คิดจะซื้อใช้ทั้งกระดาษทิชชู่แบบชำระทั่วไป และแบบเช็ดหน้า มีวิธีการเลือกที่ต่างกัน คือ หากเป็นแบบชำระทั่วไปเลือกความนุ่มที่พอดี ด้วยเหตุว่าบางอย่างก็ต้องสัมผัสผิว และต้องเลือกแบบย่อยสลายในน้ำได้ดีด้วย ส่วนแบบเช็ดหน้าแนะนำให้เลือกแบรนด์ที่เนื้อกระดาษบริสุทธิ์ ไม่มีสารเคมี หรือสารเรืองแสงต่าง ๆ ซึบซับน้ำได้ดี และเนื้อสัมผัสนุ่มอ่อนโยนต่อผิวของเรา

ชมสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/HHP0213

44


ท่านไหนที่มีรองเท้ามากมั่นใจเลยว่าหลาย ๆ คนต้องเลือกใช้กล่องรองเท้ากันเนื่องด้วยความสะดวกสบายในการจัดเก็บ ทำให้บ้านดูมีระเบียบมากขึ้น ทว่าเมื่อใช้ไปแล้วเป็นเวลานานก็อาจเกิดความชำรุดเสียหายได้ แต่เราจะรู้ได้ยังไง?? บทความนี้มีวิธีสังเกตมาบอกต่อ กล่องไหนควรซื้อใหม่ได้แล้วดีกว่าใช้งานไปเรื่อย ๆ เกิดซ้อนหลายกล่องแตกร่วงเก็บกันวุ่นไปอีก

วิธีการสังเกตกล่องรองเท้าชำรุด เห็นแล้วต้องซื้อใหม่ทันที
1. กล่องจากสีขาวเปลี่ยนสีชัดเจน
สภาพกล่องจากเดิมที่เป็นกล่องรองเท้าใสขาวสวย หรือขุ่นก็ดี กลับกลายเป็นสีเหลือง หรือจากขาวใสก็ขุ่นหมองแล้ว แนะนำว่าซื้อเปลี่ยนได้เลย ก็เพราะว่าเริ่มเสื่อมสภาพ เกิดใช้ไปนานมากขึ้นอาจชำรุดมากกว่าเดิมก็เป็นได้ ไม่คุ้มค่าที่ต้องมานั่งเก็บรองเท้าและเศษกล่องพังเสียหาย

2. มีรอยชำรุด ฉีกขาด
ต่อมานอกจากตัวกล่องที่เปลี่ยนสีไปแล้ว ตัวกล่องมีรอยฉีกขาด รอยชำรุด เกิดรูรั่ว ถ้าปล่อยเอาไว้นานมากกว่าเดิม รอยฉีกขาดชำรุดจะเพิ่มมากขึ้นสุดท้ายก็ทำให้กล่องพังเสียหายได้ โดยเฉพาะกับคนที่ตั้งไว้สูง ๆ หรืออาจมีฝุ่นเข้าไป มีสิ่งสกปรกเข้าไปได้ รวมทั้งสัตว์อื่น ๆ อย่างแมลงสาบ ที่อาจทำลายรองเท้าของท่านแบบไม่รู้ตัว

3. กล่องบุบ ยุบตัว
ไม่ใช่แค่กล่องเปลี่ยนสี หรือมีรอยฉีกขาดชำรุดแล้ว ยังมีเรื่องของตัวกล่องที่ยุบหรือบุบด้วย จะทำให้กล่องเสียทรงพับลงมา เมื่อเป็นแบบนั้นหากใส่รองเท้าไว้นาน ๆ ไม่ได้หยิบออกมาใช้ก็มีโอกาสรองเท้ายุบเสียทรงด้วยเช่นกัน หากพบว่ากล่องใส่รองเท้าเป็นแบบนี้เปลี่ยนไปเลยดีที่สุด

4. มีคราบ รอยเปื้อน กลิ่นเหม็นอับเกินไป
ปิดท้ายก็อาจขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้งานด้วย หากกล่องรองเท้ามีคราบ รอยเปื้อน หรือกลิ่นเหม็นอับมากเกิน ชนิดที่ลองเอาไปทำความสะอาดแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น วัสดุที่ใช้อาจเสื่อมสภาพมาก ๆ แล้ว ก็ซื้อใหม่ไปเลยดีกว่า เพราะว่าไม่อย่างนั้นรองเท้าอาจเกิดกลิ่นเหม็นอับสะสม และกลายเป็นแบคทีเรีย เชื้อโรคได้ ยิ่งตัวเองมีกลิ่นเท้าด้วยจะยิ่งเป็นเรื่องใหญ่

กล่องรองเท้าคือสิ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับท่านไหนที่มีรองเท้าใช้งานเยอะ และปัจจุบันก็มีให้เลือกหลากแบรนด์ หลายประเภทด้วย กระนั้นหากใครลองใช้งานแล้วและเกิดปัญหาในลักษณะข้างต้น อยากแนะนำให้ซื้อเปลี่ยนใหม่เลยดีที่สุด โดยเฉพาะท่านใดที่ซ้อนกล่องไว้สูง ทั้งนี้ การทำความสะอาดก็สำคัญมาก ๆ แนะนำว่าให้ทำอย่างน้อย 1 สัปดาห์ 3 ครั้งเลยก็ดี หรือกล่องไหนที่รองเท้าออกไปใช้งานบ่อยก็ยิ่งต้องทำความสะอาด อย่าลืมหมั่นตรวจสอบดูความเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ ด้วย

ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
เว็บไซต์ : https://www.homepro.co.th/c/HHP1205

45


ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกซื้อโต๊ะพับ หรือเก้าอี้ใด ๆ แล้วจำเป็นต้องพิจารณาถึงปัจจัยรอบด้านอย่างรอบคอบ เพื่อให้การใช้งานตอบโจทย์มากที่สุด ทว่าบางท่านอาจไม่เคยทราบมาก่อนว่าจะต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง เราไม่ปล่อยให้คุณต้องสงสัยอีกต่อไปและได้รวบรวมปัจจัยสำคัญมาให้ศึกษา ยืนยันว่าได้ของที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพดีเหมาะสมกับการใช้งานตามต้องการแน่นอน

4 สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนเลือกซื้อเลือกหาโต๊ะพับ
1. ขนาดของโต๊ะ
ถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างมากกับการนำมาใช้งาน ด้วยเหตุว่าจะต้องให้อยู่ในพื้นที่ที่ใช้งานแล้วสะดวก ไม่แคบมากเกินไป ปัจจุบันต้องมีหลายขนาด หลายไซซ์ให้เลือก แนะนำว่าควรวัดพื้นที่ใช้งานให้ดีก่อน โดยขนาดจะอยู่ที่ 50 x 50 เซนติเมตร ไปจนถึง 90 x 180 ซม. หรือบางยี่ห้อก็มากกว่านี้ก็เป็นได้

2. รูปทรงของโต๊ะที่จะนำมาใช้
รูปทรงของโต๊ะก็ต้องพิจารณาอย่างดีในการนำมาใช้งานเช่นกัน โดยทั่วไปแล้วจะมีทั้งเป็นโต๊ะธรรมดา หรือรวมกับเก้าอี้พับด้วย ซึ่งก็จะมีให้เลือกดังนี้
- รูปทรงกลม เหมาะสำหรับการใช้งานเพื่อทานอาหารร่วมกันเข้าถึงได้ทุกมุม ทุกคน จัดวางอาหารได้อย่างมีระเบียบ
- รูปทรงแบบสี่เหลี่ยมมีทั้งสี่เหลี่ยมผืนผ้า และสี่เหลี่ยมจัตุรัส เหมาะกับการใช้วางสิ่งของต่าง ๆ หยิบใช้งานง่าย เข้ามุมตามกำแพงไม่เกะกะ และเมื่อไม่ใช้ก็พับเก็บได้

3. รูปแบบในการพับโต๊ะ
มาต่อกันที่อีกสิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนซื้อให้ดี ก็คือรูปแบบของการพับที่จะช่วยให้การใช้งานและจัดเก็บไม่เกะกะ ยิ่งเป็นการใช้งานโต๊ะพับอเนกประสงค์ที่มีหลายตัวก็จะจัดการรวดเร็ว การพับมีทั้งพับลงทั้งหมด หรือพับแยกกลาง ฯลฯ แต่ปัจจัยสำคัญคือต้องมีความแข็งแรง เคลื่อนย้ายได้สะดวกตามพื้นที่ที่แตกต่าง

4. วัสดุของโต๊ะที่ใช้ผลิต
สุดท้ายเป็นเรื่องของวัสดุของโต๊ะที่มีให้เลือกแตกต่างกันออกไป ทั้งเมลามีน พลาสติก ลามิเนต หรือไม้ประเภทต่าง ๆ ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีความแตกต่าง จำเป็นต้องดูการใช้งานของเราด้วย เหตุเพราะถ้าตั้งนอกอาคารมีการเปียกน้ำมาก หรือต้องโดนฝนก็อาจต้องเลือกเป็นโต๊ะพลาสติกมากกว่าโต๊ะไม้ หรือถ้าต้องการความแข็งแรง วางของหนักประจำก็เลือกเป็นวัสดุไม้จริงได้ อย่าใช้ลามิเนตทั้งนี้เพราะจะไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร เป็นต้น

ทั้งนี้ อย่าพลาดเรื่องของราคาด้วยเพราะต้องขึ้นอยู่กับวัสดุที่ทำ ขนาด รวมถึงรูปแบบการพับต้องสอดคล้องกัน เพื่อความคุ้มค่า และใช้งานเสร็จทุกครั้งจำเป็นต้องทำความสะอาดตามโต๊ะให้เรียบร้อย เป็นวิธียืดอายุการใช้งาน หวังว่าการมีโต๊ะพับ เก้าอี้ใด ๆ ของคุณจะใช้งานอย่างราบรื่น ไม่ต้องซื้อใหม่บ่อย ๆ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Official Website : https://www.homepro.co.th/c/OUT0607

Pages: 1 2 [3] 4 5 ... 42